https://line.me/ti/p/qh-Py2HQJ7

สอบถามได้ที่

ขั้นตอนการทำเสาเข็มเจาะตั้งแต่ต้นจนจบ

บทนำ

เสาเข็มเจาะ (Bored Pile) เป็นหนึ่งในระบบรากฐานลึกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในงานก่อสร้างโครงสร้างขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูง คอนโดมิเนียม โรงงาน สะพาน หรือโครงสร้างที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ชั้นดินไม่สามารถรับน้ำหนักได้เพียงพอ เสาเข็มเจาะมีข้อดีในด้านการลดเสียง ลดแรงสั่นสะเทือน เหมาะกับพื้นที่ในเมืองหรือชุมชนหนาแน่น ซึ่งแตกต่างจากเสาเข็มตอกที่มักเกิดผลกระทบกับอาคารข้างเคียง

บทความนี้จะอธิบายขั้นตอนการทำเสาเข็มเจาะอย่างละเอียด ตั้งแต่การเตรียมงานก่อนเจาะ การดำเนินการภาคสนาม การควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการตรวจสอบหลังงาน เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมและสามารถประยุกต์ใช้ในการวางแผน ควบคุม หรือตรวจสอบคุณภาพงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


1. การเตรียมงานก่อนเริ่มเจาะ

1.1 การสำรวจและวิเคราะห์ชั้นดิน

ก่อนที่จะเริ่มการทำเสาเข็ม ต้องมีการสำรวจชั้นดินในพื้นที่ก่อสร้าง โดยการเจาะสำรวจดิน (Soil Boring Test) เพื่อเก็บตัวอย่างดินและทดสอบสมบัติต่าง ๆ เช่น

  • ความแน่นของดิน
  • ความสามารถในการรับน้ำหนัก (Bearing Capacity)
  • ระดับชั้นน้ำใต้ดิน
  • ความลึกของชั้นดินแข็ง

ผลการทดสอบเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการออกแบบความลึก ขนาด และกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม

1.2 การวางผังเสาเข็ม

การวางผังเสาเข็ม (Pile Layout) เป็นกระบวนการที่วิศวกรหรือเจ้าหน้าที่สำรวจต้องดำเนินการเพื่อกำหนดตำแหน่งเสาเข็มเจาะอย่างแม่นยำ โดยใช้เครื่องมือ เช่น กล้อง Total Station หรือ GPS สำรวจ เพื่อทำเครื่องหมาย (Mark) จุดศูนย์กลางของเสาเข็ม พร้อมทั้งระบุแนวแกนของอาคารและแนวกำแพงฐานราก

1.3 การเตรียมอุปกรณ์และเครื่องจักร

การเลือกเครื่องจักรสำหรับเสาเข็มเจาะต้องสอดคล้องกับประเภทดิน ความลึกที่ต้องการ และข้อจำกัดของพื้นที่ เช่น

  • เครื่องเจาะแบบ Kelly Bar (Dry Process)
  • เครื่องเจาะแบบ Continuous Flight Auger (CFA)
  • เครื่องเจาะแบบ Grab + Bentonite (Wet Process)
  • ปั้นจั่นพร้อมรอก
  • ปั๊มน้ำ ปั๊มเบนโทไนต์
  • Tremie Pipe และ Hopper สำหรับเทคอนกรีต

นอกจากนี้ยังต้องเตรียมวัสดุ ได้แก่

  • เบนโทไนต์/ปลอกเหล็ก (Casing)
  • เหล็กเสริม
  • คอนกรีตผสมเสร็จ
  • น้ำจืดสำหรับผสมเบนโทไนต์

2. ขั้นตอนการเจาะดิน

2.1 เจาะนำ (Pilot Hole)

การเจาะนำมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวการเจาะ และเป็นการเตรียมพื้นที่สำหรับวางปลอกเหล็กกันปากหลุม (Temporary Casing) ป้องกันไม่ให้ปากหลุมพังขณะเจาะ

2.2 การวางปลอกเหล็ก

ปลอกเหล็กชั่วคราวมีหน้าที่ป้องกันปากหลุมถล่มในช่วงต้นของการเจาะ โดยปลอกจะถูกตอกลงดินโดยใช้ค้อนปั้นจั่น หรือติดตั้งพร้อมเครื่องเจาะ

2.3 การเจาะลึก (Main Drilling)

เป็นขั้นตอนหลักของงานเสาเข็ม โดยเครื่องเจาะจะขุดดินหรือโคลนออกจากหลุมจนถึงระดับความลึกที่ออกแบบไว้

กรณี Dry Process:

  • ใช้ Kelly Bar หรือ Auger เจาะดินโดยไม่ใช้น้ำหรือเบนโทไนต์
  • เหมาะกับชั้นดินเหนียวแข็งที่หลุมไม่พัง

กรณี Wet Process:

  • ใช้สารละลายเบนโทไนต์เติมลงไปในหลุมขณะเจาะ เพื่อป้องกันการพังของผนังหลุม
  • เบนโทไนต์ต้องควบคุมความหนืด ค่า Specific Gravity และ pH อย่างเคร่งครัด

ข้อควรระวัง:

  • ตรวจสอบแนวดิ่งของหลุมตลอดเวลา
  • ไม่ควรหยุดการเจาะไว้นาน เพื่อป้องกันหลุมพัง

3. การทำความสะอาดหลุมเจาะ

3.1 การขจัดเศษตะกอน

เมื่อเจาะถึงระดับที่ต้องการแล้ว ต้องทำความสะอาดก้นหลุมให้ปราศจากดินอ่อน เศษวัสดุ และโคลนตกค้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะลดความสามารถในการยึดเกาะของคอนกรีตกับดิน

3.2 เครื่องมือทำความสะอาด

  • Cleaning Bucket: สำหรับตักตะกอนออกจากก้นหลุม
  • ปั๊มน้ำแรงสูง: สำหรับล้างหลุม (หากใช้ระบบเปียก)
  • เครื่องวัดความสะอาดของก้นหลุม (เช่น Bailer Drop Test)

4. การติดตั้งเหล็กเสริม

เหล็กเสริมของเสาเข็มจะถูกดัดและประกอบตามแบบวิศวกรรม โดยปกติแล้วจะใช้เหล็ก DB16 – DB32 แล้วแต่ขนาดของเสาเข็ม

4.1 การผูกเหล็ก

  • ใช้ลวดผูกเหล็กทุกจุดตัด
  • ติดตั้ง Spacers เพื่อรักษาระยะ Cover จากผนังหลุม
  • ใช้ Wheel Spacers บริเวณด้านข้างเพื่อกันเหล็กเบียดหลุม

4.2 การหย่อนเหล็กลงหลุม

  • ใช้เครนยกเหล็กเป็นท่อนแล้วหย่อนลงต่อกัน
  • หากเหล็กยาวมาก ให้ใช้การเชื่อม Coupler หรือวิธีผูกต่อกัน
  • ตรวจสอบแนวตั้งของเหล็กให้อยู่กึ่งกลางหลุมเสมอ

5. การเทคอนกรีต

ขั้นตอนการเทคอนกรีตเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโพรงหรือ Cold Joint

5.1 การเตรียม Tremie Pipe

Tremie Pipe คือท่อเหล็กขนาดประมาณ 8-12 นิ้ว ยาว 1-3 เมตร ต่อกันเป็นช่วง ๆ ใช้สำหรับนำคอนกรีตลงหลุมจากด้านล่างขึ้นมา

  • หัวท่อควรอยู่ต่ำกว่าระดับคอนกรีตเสมออย่างน้อย 1.5 เมตร
  • ต้องต่อท่ออย่างแน่นหนา ไม่มีรั่วซึม

5.2 การเทคอนกรีตแบบต่อเนื่อง

  • เริ่มเทคอนกรีตจาก Hopper ลง Tremie Pipe
  • ห้ามหยุดเทเกิน 30 นาที เพราะจะทำให้เกิดรอยต่อคอนกรีต
  • ควบคุม Slump ของคอนกรีตให้อยู่ที่ 18–22 ซม. สำหรับระบบเปียก
  • หากมีการยกท่อ ต้องมั่นใจว่าหัวท่อจมในคอนกรีต

5.3 การเก็บบันทึกข้อมูล

  • บันทึกปริมาณคอนกรีตที่ใช้
  • บันทึกเวลาที่เริ่มและสิ้นสุดการเท
  • ถ่ายภาพปากหลุมหลังเทเสร็จ เพื่อประกอบการรายงาน

6. การตรวจสอบและทดสอบหลังงาน

6.1 การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม

  • Sonic Logging Test: ตรวจสอบความสมบูรณ์ภายในเสาโดยใช้คลื่นเสียง
  • Low Strain Integrity Test (PIT): ตรวจสอบรอยร้าวหรือโพรงภายในเสาเข็ม

6.2 การทดสอบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม

  • Static Load Test (SLT): ทดสอบโดยวางน้ำหนักจริงบนหัวเสา
  • Dynamic Load Test (DLT): ใช้แรงกระแทกแล้ววัดการตอบสนอง
  • Osterberg Cell Test (O-cell): ทดสอบในแนวดึงและดันพร้อมกัน

7. ปัญหาและแนวทางแก้ไข

ปัญหาสาเหตุแนวทางแก้ไข
หลุมพังชั้นดินอ่อน, หยุดงานนานใช้เบนโทไนต์หรือ Casing กันพัง
คอนกรีตไม่เต็มคำนวณปริมาณผิด, ท่อ Tremie ไม่ดีเผื่อคอนกรีต 10%, ตรวจ Tremie
เหล็กเบี้ยวไม่มี Spacerติดตั้ง Wheel Spacer อย่างทั่วถึง
เกิดโพรงในเสาเทคอนกรีตไม่ต่อเนื่องวางแผนและประสานงานล่วงหน้า

สรุป

การทำเสาเข็มเจาะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ไปจนถึงการดำเนินการในภาคสนามและการตรวจสอบคุณภาพ ความสำเร็จของงานเสาเข็มขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย ทั้งวิศวกรผู้ออกแบบ วิศวกรสนาม ผู้ควบคุมงาน ผู้รับเหมา และห้องปฏิบัติการ

การควบคุมคุณภาพในแต่ละขั้นตอนจะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหา และเพิ่มความมั่นใจในความมั่นคงของโครงสร้างในระยะยาว หากมีการจัดทำรายงานการตรวจสอบและบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ งานเสาเข็มเจาะก็จะเป็นส่วนสำคัญที่รองรับโครงสร้างได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย